การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศนั้นมีส่วนทำให้เกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลก และยิ่งผลักดันให้เกิดปรากฏการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ มากขึ้นอีกด้วย อาทิ การเกิดน้ำท่วมใหญ่ ไฟป่า และพายุไต้ฝุ่น ในขณะที่สภาพอากาศเลวร้ายทั่วโลก พบว่าผู้คนต่างหันมาใช้ทวิตเตอร์ทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติเหล่านี้ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งนี้การสนทนาแบบเรียลไทม์ซึ่งขับเคลื่อนโดยข้อมูลเชิงลึกทางสังคมและการวิเคราะห์เหล่านี้เอง สามารถใช้เป็นการแจ้งเตือนภัยในพื้นที่นั้นๆ ได้ทันที รวมถึง สามารถช่วยบรรเทาทุกข์ และประเมินสถานการณ์ภาคพื้นดินได้อีกด้วย
ทวิตเตอร์ช่วยให้บริษัท องค์กรต่างๆ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้าถึงข้อมูลของทวิตเตอร์ผ่านแพลตฟอร์มเอพีไอ หรือ Application Programming Interface (APIs) ที่จะช่วยให้สามารถสร้างแอปพลิเคชั่นและเครื่องมือสำหรับผู้บริโภค ในการดึงข้อมูลเชิงลึกจากทวิตเตอร์มาใช้ได้ ตัวอย่างของเหตุการณ์หลังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ น้ำท่วมกรุงจาการ์ตาในอินโดนีเซีย เหตุการณ์ไฟป่ารุนแรงในออสเตรเลีย และพายุไต้ฝุ่นฮากิบิสที่ถล่มญี่ปุ่น ทวิตเตอร์ได้ร่วมมือกับ พีตา เบนคานา (Peta Bencana) และ แบรนด์วอทช์ (Brandwatch) ซึ่งเป็น พันธมิตรอย่างเป็นทางการของทวิตเตอร์ เพื่อช่วยให้ชุมชนในท้องถิ่นที่ประสบภัยได้เข้าใจแนวโน้มของภัยที่กำลังประสบจากข้อมูลการทวีตสนทนามากยิ่งขึ้น นอกจากการใช้บริการเหล่านี้เพื่อแบ่งปันทรัพยากร ระดมทุน และชุมนุมกันแล้ว การทวีตยังสร้างข้อมูลทางสังคมมากมายที่สามารถนำมาใช้เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและวิกฤตในวงกว้างมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ที่กำหนดนโยบายสามารถตอบสนองต่อความต้องการเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินทางสภาพอากาศในอนาคตได้ด้วย
ด้วยความร่วมมือกับ ครีเอทีฟสตูดิโอ Design I/O ทำให้ทวิตเตอร์สามารถเปิดตัวหน้าเว็บแบบอินเตอร์แอคทีฟ เพื่อสำรวจว่าการสนทนาต่างๆ บน Twitter ได้พัฒนาเชื่อมโยงกันอย่างไรในช่วงที่เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายในแต่ละครั้ง โดยสามารถสรุปช่วงเวลาสำคัญต่างๆ ได้ดังนี้:
บทสนทนาที่ร้อนแรงขึ้น
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภูมิอากาศของสหประชาชาติ ได้สรุปในรายงานฉบับหนึ่งว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศและสภาพอากาศสุดขั้วในหลายภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของความถี่ และความรุนแรงของอากาศร้อนสุดขั้ว คลื่นความร้อนจากทะเล และปริมาณน้ำฝนที่สูงขึ้นมาก
ทั้งนี้ ขอบเขตของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วนั้นได้สะท้อนออกมาในการสนทนาสาธารณะบนทวิตเตอร์เช่นกัน โดยตัวอย่างทวีตภาษาอังกฤษระหว่างปี 2013-2020 มีการระบุคำว่า “climate change” (หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) ที่เพิ่มจำนวนขึ้นโดยเฉลี่ย 50% ในแต่ละปี